คงต้องเขียนตอบคำถามยอดฮิตที่ญาติสนิทมิตรสหาย คนรู้จักหรือแม้กระทั่งไม่รู้จักสอบถามเข้ามาตลอดห้วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งผมก็ต้องตอบคำถามแบบฉายหนังซ้ำเกือบทุกรอบไป แต่ก็มีบ้างครับที่มีปัจจัยที่แตกต่างกันบ้างที่เป็นองค์ประกอบของการเสาะหาสถานที่เรียนขี่ม้าให้ลูกหลานได้อย่างถูกใจแต่ละคน
ขอเริ่มจากสโมสรยอดฮิต คือ ชมรมขี่ม้าทหารม้ารักษาพระองค์ หรือ คนชอบติดปากกัน เรียกว่า “มอ” หลายคนคงงง ว่า อะไรคือ “ม.” ??? ผมขอเฉลยก่อนเลยแล้วกันครับ “ม.” มาจากคำว่า ร้อย.ม.รอ. หรือกองร้อยทหารม้ารักษาพระองค์ ซึ่งในอดีต(ก่อนปี พ.ศ.2530) จะมีโรงเรียนสอนขี่ม้า ในกรุงเทพฯ อยู่แค่ 2 ที่เท่านั้น คือ ที่ “ม.” กับ “โปโล” (ราชกรีฑาสโมสร โปโลคลับ) ต่อมาภายหลัง ร้อย.ม.รอ. ได้รับอนุมัติ จากกองทัพบก ให้ขยายอัตราการจัด จากหน่วยทหารระดับกองร้อยเป็นกองพัน คือ กองพันทหารม้าที่ 29 หรือกองพันทหารม้าที่ 29 รักษาพระองค์ในปัจจุบันนั่นเอง…… กลับมาเข้าเรื่องครับ ที่ “ม.” เนี่ย เป็นอย่างไร ? ดีมั๊ย ? ผมก็ต้องขอตอบว่า “ดีครับ” สถานที่แห่งนี้ เป็นจุดเริ่มต้นของนักกีฬาขี่ม้าระดับแนวหน้าของเมืองไทย จะว่าทุกคนก็ว่าได้ ไม่มีใครที่ไม่เคยมาเรียนขี่ม้าที่ “ม.” เพราะอย่างที่บอกว่า สมัยก่อน มีเรียนกันอยู่แค่ 2 ที่ ซึ่งโปโลเป็นสโมสรปิด เรียนได้เฉพาะ Member เท่านั้น แถมระเบียบข้อบังคับก็ค่อนข้างแสนจะยุ่งยากบนพื้นฐานที่ต้องได้รับความเห็นชอบจากสมาชิกส่วนใหญ่ ซึ่งมีทั้ง ไฮโซ และไฮซ้อ มันก็จะออกแนวเยอะๆ จึงส่งผลให้ไม่สามารถพัฒนาได้อย่างเต็มรูปแบบ กระทบมาจนถึงปัจจุบันนี้ ส่วน “ม.” นั้น เป็นหน่วยทหาร มีม้าซึ่งเป็นม้าหลวง มีงบประมาณดูแล มีทหารเลี้ยงม้า ฝึกม้า และนำม้ามาออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และมีระเบียบชัดเจนในการเรียนการสอน ซึ่งใครที่มาเรียนที่นี่ ก็ต้องปฏิบัติตามระเบียบของโรงเรียนทหารอย่างเคร่งครัด เริ่มตั้งแต่ เรื่องการผ่านเข้าออกสถานที่ราชการ สมาชิกทุกคนก็ต้องทำบัตรผ่านเข้าออก ทั้งยานพาหนะ และบุคคล ซึ่งก็จะต้องผ่านการตรวจทุกครั้ง ตลอดจนเวลาในการเรียนการสอน ก็กำหนดชัดเจนเป็นรอบรอบ ใครจองชั้นเรียนไว้ มาช้าไป 15 นาที น้องม้าก็จะถูกสั่งให้นำกลับคอก ก็ต้องอดขี่ม้าไปตามระเบียบ ในส่วนของม้า เนื่องจากเป็นม้าหลวง ทำได้หลายภารกิจ ไม่ว่าจะเข้าขบวนสวนสนาม ฝึกยิงปืนบนหลังม้า ขี่ม้าประกอบดนตรี กระโดดข้ามสิ่งกีดขวางในธรรมชาติ ตลอดจนงานบุญ ขันหมาก แห่นาค และอีกหลายๆงานตามแต่ได้รับมอบภารกิจ เพราะฉะนั้น ใครที่จะมาเรียนต้องไม่คาดหวังว่า ม้าที่นี่จะเป็นม้ากีฬาชั้นดีที่จะเข้าแข่งขันกีฬาต่างๆของสมาคมฯในระดับสูงๆได้ หรือคาดหวังว่าจะแข่งศิลปะการบังคับม้าแล้วได้จะได้คะแนนความสวยงามสูงๆจากกรรมการตัดสิน แต่อย่างน้อย “ม้าที่นี่” ส่วนใหญ่ที่นำมาให้บริการก็จะเป็นม้าที่สามารถใช้เรียนรู้ขั้นพื้นฐานได้ และอีกอย่าง คือ ราคาค่อนข้างย่อมเยาว์ เพราะเป็นนโยบายของกองทัพบก ที่ให้คิดค่าบริการถูกๆ เพื่อให้บุคคลพลเรือนภายนอกเข้ามาทำกิจกรรมในค่ายทหารได้ อีกอย่างที่เป็นจุดแข็งและได้เปรียบสโมสรขี่ม้าอื่นๆ คือ สถานที่ตั้งอยู่กลาง กทม. คือ ห่างจากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เพียง 1 กม.เท่านั้น แต่อีกอย่างที่ต้องบอกไว้ก่อน คือที่นี่ “ครูดุ” เพราะครูทุกคนเป็นทหาร โดยเฉพาะขึ้นชื่อว่าทหารม้าทีมีคุณสมบัติเฉพาะของเหล่า คือ เป็นคนโผงผาง เพราะฉะนั้น พวกลูกคุณหนู คุณนาย ทั้งหลาย ต้องทำใจยอมรับให้ได้ อีกเรื่องนึง ที่เป็นข้อจำกัดของโรงเรียนขี่ม้าทหาร เพราะเป็นม้าทหาร จึงไม่มีม้าเล็ก ม้าโพนี่ ไว้สำหรับให้บริการ ดังนั้นเด็กๆ ก็ต้องขี่ม้าตัวสูงใหญ่ ซึ่งบางครั้งเมื่อเกิดอุบัติเหตุ มันก็จะเป็นอะไรที่ค่อนข้างรุนแรงและบาดเจ็บมากกว่า ขี่ม้าเล็ก ซึ่งทางโรงเรียนขี่ม้าเอกชนส่วนใหญ่จะมีไว้รองรับสำหรับสอนขี่ม้าให้กับเด็กๆครับ
ต่อไปจะพูดถึงโรงเรียนขี่ม้าของเอกชนกันบ้าง เป็นที่น่ายินดีสำหรับกีฬาขี่ม้าในบ้านเรา ที่ปัจจุบันมีโรงเรียนสอนขี่ม้าผุดขึ้นราวกับดอกเห็ดทั่วประเทศ ในเมืองท่องเที่ยวมีเกือบทุกจังหวัด ถ้านับกันเฉพาะในกรุงเทพ ก็ไม่ต่ำกว่า 20 สโมสร ซึ่งก็จะมีข้อดีข้อเสียต่างกันไป โดยรวมแล้วถ้าเอาแค่การสอนพื้นฐานแล้ว ก็จะมีมาตรฐานที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งเราจะให้ลูกเราเริ่มที่ไหนก็ได้ ในความเห็นผมเอาที่สะดวกไว้ก่อน เพราะในกรุงเทพมหานคร ต้องยอมรับว่า ปัญหาการจราจรติดขัดมีส่วนอย่างมาก ในการพาลูกไปเรียนขี่ม้าแต่ละครั้ง เพราะฉะนั้นปัจจัยในเรื่อง Location ก็เป็นสิ่งสำคัญในการใช้พิจารณาอีกปัจจัยนึง ส่วนถ้าเรียนไปแล้ว เด็กอยากมีพัฒนาการต่อที่จะเป็นนักกีฬาประเภทใด ประเภทนึง ค่อยมาสอบถามกันในเชิงลึกหลังไมค์อีกทีครับ เพราะก็ต้องยอมรับอีกเช่นกันว่า ปัจจัยปริมาณกับคุณภาพมันมักผกผันสวนทางกันเสมอ ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม โรงเรียนสอนขี่ม้าก็เช่นกัน มีเพิ่มขึ้นเยอะก็จริง แต่ไอ้ที่มีประสิทธิภาพสามารถต่อยอดต่อในเชิงกีฬา ก็ยังมีอยู่ไม่มาก ประกอบกับครูฝึกม้า หรือครูสอนขี่ม้า ก็ยังไม่มีประสิทธิภาพไปเสียทั้งหมด ขึ้นชื่อว่าเป็นครู มันก็ควรจะผ่านการเรียนการสอนเพื่อที่จะมาเป็นครู แต่นี่ก็ยังเห็นเอาพวกน้องๆทหารเกณฑ์ที่เพิ่งปลดประจำการไปทำหน้าที่ครูฝึกสอนม้า โดยอาศัยว่าเคยเลี้ยงม้า เคยขี่ม้าได้ มาอุปโหลกขึ้นเป็นครูสอนขี่ม้า ก็เห็นมีเยอะหลายที่ สรุปคือพวกเอาง่ายไว้ก่อน เอามัน เอาฮาไป ทั้งๆที่ปัจจุบัน สมาคมกีฬาขี่ม้าแห่งประเทศไทย ก็ส่งเสริมและพยายามที่เชิญชวนให้คนเหล่านี้เข้ามาอบรมหลักสูตรผู้ฝึกสอนทั้งในระดับประเทศและ ในระดับสากลโดยสมาพันธ์ขี่ม้านานาชาติเข้ามาจัดการอบรมให้ แต่เวลาเขาจัดกิจกรรมกัน ก็ไม่ค่อยมาร่วมกัน อาจจะติดขัดเรื่องภาษา เวลา หรือแม้กระทั่งค่าใช้จ่าย ในการเข้ารับการอบรมแต่ละครั้ง ก็ว่ากันไป แต่ก็แอบหวังว่าในอนาคตเมื่อมีความต้องการของตลาดมากขึ้น และสูงขึ้น พวกที่เรียกตัวเองว่าครูต่างๆก็จะหันมาให้ความสำคัญและหาความรู้ใส่ตัวเพิ่มขึ้น ก่อนที่จะไปสอนคนอื่นเขา หรือก่อนที่จะไปรับผิดชอบชีวิตลูกชาวบ้านเขา อะไรทำนองนั้น
สรุปสุดท้าย ถ้าถามผม ผมยังเชียร์ให้เลือกเรียนขี่ม้าขั้นพื้นฐานที่โรงเรียนสอนขี่ม้าใกล้บ้าน หรือ ใกล้โรงเรียน ที่ผู้ปกครองสะดวก แต่ถ้าไม่อยากมีค่าใช้จ่ายที่บานปลายในช่วงต้น และสะดวกที่จะเดินทางมาที่ “มอ” หรือ ชมรมขี่ม้าทหารม้ารักษาพระองค์ สนามเป้า ก็ยังคงแนะนำว่า ว่าสถานที่แห่งนี้ ก็ยังเป็นโรงเรียนสอนขี่ม้าหลักของประเทศไทย ที่สามารถรองรับจำนวนนักเรียน ได้มากถึงวันละ 80 – 100 คน สถานที่กว้างขวาง เดินทางสะดวก ไปมาได้หลายวิธี ขึ้นรถไฟฟ้าลงสถานีสนามเป้าก็ถึงเลย เดินผ่านป้อมยามทหารเข้ามาไม่ถึง 500 เมตร ม้าก็มีให้เลือกเยอะ แต่ก็ต้องยอมรับกับปัจจัยที่เป็นข้อจำกัดที่ผมเกริ่นให้ทราบไว้ตอนต้น ส่วนคุณพ่อคุณแม่ท่านใดมีกำลังและอยากส่งเสริมลูกให้เป็นนักกีฬาต่อไปในอนาคต และมีความพร้อมเรื่องปัจจัย คงต้องขออนุญาตติดต่อเข้ามาคุยกันเป็นการส่วนตัวครับ เพราะโลกในยุคปัจจุบันเป็นยุคของข้อมูลข่าวสารและโลกมันแคบลง ถ้าเปรียบเทียบให้เห็นภาพก็คือ เราอาจจะไม่ต้องเริ่มจากหว่านเมล็ดเพื่อหวังผลรับประทาน ซึ่งใช้เวลานานเหมือนแต่ก่อน แต่เราสามารถสั่งของออนไลน์สำเร็จรูปมาให้ลูกเรารับประทานได้ ทั้งพันธุ์ไทยและพันธ์เทศ โดยใช้เวลาแทบอึดใจครับ
เกือบลืมครับ สำหรับข้อมูลโรงเรียนสอนขี่ม้า ทุกท่านสามารถเข้าไปดูได้ที่ http://www.vrhorseman.com/ridingschool/