Eventing

Introduction

Eventing competition encompasses three tests – Dressage, Cross-Country and Jumping. There are individual and team competitions. Each competitor rides the same horse on separate and consecutive days.

Rules

The first test is Dressage, to test the harmonious development of the horse\’s physique and ability. The score is converted into penalty points using a special formula. The second test is Cross-Country without steeplechase, where the horse is required to complete a set course of appr. 5.7km within an optimal time, clearing a variety of natural obstacles such as ditches, water, stone walls, benches as well as fallen trees. The third test is Jumping, which takes place on the third day, with an objective to test if the horses have retained their energy and obedience to jump a course of 10 to 13 obstacles.

For more details, please refer to competition format and rules. The French version is available here.

Judging

The winner of an Eventing competition is the competitor with the least penalties over the three tests. The winning team is the one with the lowest total penalty points, after adding together the final scores of the top 3 competitors in the team.

75 athletes were initially expected to compete in Eventing in 2008.

70 athletes from 24 nations are officially entered after the 1st horse inspection.

Eventing อีเวนท์ติ้ง

เป็นประเภทกีฬาขี่ม้าที่รวม เอา ทั้ง Dressage และ Show jumping มารวมกัน โดยเพิ่มในส่วนของ Cross Country หรือ การขี่ม้าในภูมิประเทศเข้าไปด้วย ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับกีฬาว่ายน้ำประเภทผสม ซึ่งมีการรวมเอาหลายท่าไม่ว่าจะเป็นผีเสื้อ, Freestyle , กรรเชียงและกบมาแข่งขัน เฉกเช่นเดียวกับที่ Eventing กำหนดให้ผู้ขี่และม้าตัวเดิมจะต้องผ่านทั้ง Dressage, Cross Country และ Show jumping ในด่านสุดท้ายซึ่งใครที่ผ่านทั้ง 3 ด่านแล้วมีคะแนนเสียน้อยที่สุด จะเป็นผู้ชนะ กีฬาประเภทนี้ไม่สามารถแข่งจบภายในวันเดียว เพราะฉะนั้นผู้ชมจะต้องทราบผลคะแนนของแต่ละประเภท ของนักกีฬาและม้าแต่ละคน โดยดูได้จากบอร์ดคะแนน ซึ่งเมื่อกรรมการรวมคะแนนเสร็จแล้วจะนำมาประกาศภายหลังจากจบการแข่งขันในแต่ ละประเภทเพื่อให้ทราบทั่วกัน โดยเริ่มจากการแข่งขันใน Dressage ซึ่งการแข่งขันก็จะเหมือนกับ Dressage ทั่วไป เพียงแต่เอาคะแนนที่ทำได้ ลบด้วยคะแนนเต็มทั้งหมด ซึ่งจะเป็นคะแนนเสียสะสม ซึ่งจะไปรวมกับ คะแนนเสียในส่วนของ Cross Country ซึ่งม้า จะต้องวิ่งไปตาม Couse Plan ที่ผู้ออกแบบสนาม ได้กำหนดไว้และกระโดดข้ามเครื่องขวางที่ถูกสร้างขึ้นในภูมิประเทศที่แตกต่าง กันไป โดยที่ผู้ขี่และม้ามีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธเครื่องได้ไม่เกิน 3 ครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งจะถูกตัดคะแนน 20 คะแนน ในครั้งที่ 3 จะถูกให้ออกจากการแข่งขัน โดยจะปฏิเสธในเครื่องกีดขวางเครื่องเดียวกันได้ไม่เกิน 2 ครั้ง ปฏิเสธครั้งที่ 1 คงเสีย 20 คะแนน ถ้ายังปฏิเสธครั้งที่ 2 อีกก็จะ เสียคะแนนเพิ่มอีก 40 คะแนน ถ้ายังมีครั้งที่ 3 ต้องถูกให้ออกจากการแข่งขัน ส่วนการตกม้าใน Cross Country นั้น ไม่อนุญาติให้มีการตกม้า ต้องออกจากการแข่งขันเท่านั้น โดยรายละเอียดของกติกาค่อนข้างจะซับซ้อนพอสมควร ถ้าจะศึกษากันจริง ๆ จะต้องเข้าอบรมเพราะรายละเอียดจะมีค่อนข้างเยอะ แต่ส่วนใหญ่ผลแพ้ชนะ ผู้ชมสามารถมาลุ้นเอาที่ประเภทสุดท้าย คือ Show jumping ได้ โดย ขอทราบรายละเอียดคะแนนของ 2 ประเภทแรกได้จากกรรมการ แล้วนำมาคิดรวม กับคะแนนเสียใน Show jumping วันสุดท้าย ซึ่งหลักการคิดในปัจจุบัน FEI. ปรับ ให้มีการคิดคะแนนเหมือนใน Show jumping ทั่วไป ซึ่งจะทำให้ผู้ชมเข้าใจง่ายยิ่งขึ้น ไม่สับสน ต่างกันนิดหน่อยตรงที่การคิดคะแนนเสียจากการใช้เวลาเกิน Time Allowed มีคะแนนเสียเพิ่ม วินาทีละ 1 คะแนน และอนุญาติให้ตกม้าได้ครั้งนึง โดยมีคะแนนเสีย 8 คะแนน แต่ถ้าตกม้าครั้งที่ 2 ต้องออกจากการแข่งขัน Elimination

Jumping

Introduction

Jumping competition dates back to the 19th century. The first Grand Prix jumping event held in Paris in 1866 enhanced the international status of the sport. Jumping became an Olympic discipline in 1900, with two categories – High Jump and Long Jump. In the early years, the military dominated the event until the first civilian won the gold medal in the 1952 Helsinki Games.

Rules

The rider and horse combination is required to clear a series of 10 to 13 obstacles in the prescribed order along a set course, to test the pair\’s skill, accuracy and training. The obstacles include vertical obstacles, spread obstacles, water jump, double/treble combinations as well as walls.

For more details, please refer to competition format and rules. The French version is available here.

Judging

– If the horse refuses to jump or knocks down the fence(s), the rider will incur 4 penalty points. If they exceed the time allowed, additional penalty points will be incurred.
– The horse and rider will be eliminated after a second refusal as well as any fall.
-The winner is the horse and rider combination with the least penalty points. In the case of a tie, the competitors will enter into a jump-off round to determine the ranking. In case of another tie, the combination with the fastest time wins.

After horse inspection, 77 athletes from 29 nations compete in Jumping in 2008.

Showjumping หรือ การขี่ม้ากระโดดข้ามเครื่องกีดขวาง

กีฬาประเภทนี้ ได้รับความนิยมจากผู้ชมทั่วไป เป็นอย่างมาก เพราะมีความสนุก, ตื่นเต้น, เร้าใจ ตลอดจนเข้าใจง่าย ศึกษา กฎ กติกา คร่าว ๆ ก็พอจะเข้าใจ ซึ่งหลักจริง ๆ มีอยู่ไม่เท่าไหร่ สามารถลองให้คะแนนเอง ร่วมไปกับกรรมการได้ อีกทั้งเมื่อผู้เข้าแข่งขัน แข่งเสร็จในแต่ละคนผู้บรรยายสนามจะสรุปคะแนนให้ฟัง ซึ่งผู้ชมสามารถจดบันทึกตามไปด้วย ประกอบการชมการแข่งขัน จะทำให้เกิดอรรถรสในการชมการแข่งขันมากยิ่งขึ้นไปด้วย โดยกติกาง่าย ๆ โดยเริ่มจากผู้เข้าแข่งขันทุกคนมีคะแนนเสียเท่ากัน คือ 0 คะแนนในตอนเริ่ม โดยผู้เข้าแข่งขันจะต้องนำม้าของตน กระโดดข้ามเครื่องกีดขวาง ตามหมายเลขเครื่องและแบบของสนาม ซึ่งผู้ออกแบบสนาม(Couse Designer) เป็นผู้ออกแบบไว้ จนครบ โดยใครที่มีคะแนนเสียน้อยที่สุดจะเป็นผู้ชนะ

ทีนี้ลองมาดูกันครับว่า คะแนนเสียในการแข่งขันเกิดขึ้นได้จากอะไรบ้าง
– คะแนนเสียจากการกระโดด
– ม้าเตะเครื่องตกพื้น ซึ่งจะมีคะแนนเสียเครื่องละ 4 คะแนน โดยเครื่องตกกี่เครื่อง ก็คูณ 4 เข้าไป
– ม้าปฏิเสธเครื่อง โดยเบรคหน้าเครื่องกีดขวาง หรือ หลบออกทางข้างทั้งซ้ายและขวา โดย ถ้าปฏิเสธครั้งที่ 1 จะเสีย 4 คะแนน เช่นเดียวกับเตะเครื่องตก แต่ถ้าเกิดปฏิเสธครั้งที่ 2 แสดงว่าม้าไม่พร้อมที่จะแข่งขัน ต่อไป ต้องถูกให้ออกจากการแข่งขัน ( Elimination )
– คะแนนเสียจากการใช้เวลาเกิน ก่อนการแข่งขันจะเริ่มขึ้น ผู้บรรยายสนาม จะประกาศให้ทราบถึง เวลาที่ใช้ในการแข่งขัน ด้วยกัน 2 ประเภทเวลา คือ
– เวลาที่ยินยอม ( Time Allowed ) ผู้เข้าแข่งขันจะต้องทำเวลาในการผ่านจากเส้นเริ่มต้น ( Start Line ) จนถึงเส้นจบ ( Finish Line ) น้อยกว่าเวลา Time Allowed ที่กำหนด แต่ถ้าใช้เวลาเกิน จะมีคะแนนเสียเพิ่มขึ้น อีก 4 วินาทีต่อ 1 คะแนน ยกตัวอย่างเช่น Time Allowed คือ 97 วินาที แต่ นาย ก กับม้า A ทำเวลาได้ 99วินาที ซึ่งเกิน Time Allowed 2 วินาท(อยู่ใน 4 วินาทีแรก) ก็จะทำให้ นาย ก กับม้า A มีคะแนนเสียเพิ่มจากคะแนนเสียจากการกระโดด อีก 1 คะแนน …ใน Case เดียวกัน หาก นาย ข กับม้า B ทำเวลาได้ 103 วินาที ซึ่งเกิน Time Allowed 7 วินาที (อยู่ใน 4 วินาทีที่สอง) ก็จะทำให้นาย ข กับม้า B มีคะแนนเสียเพิ่มจากการกระโดด อีก 2 คะแนน เป็นต้น
– Time Limit หรือเวลาที่กำหนดจะเท่ากับ 2 เท่าของ Time Allowed ยกตัวอย่างเช่น Time Allowed เท่ากับ 97 วินาที ดังนั้น Time Limit จะเท่ากับ 194 วินาที เป็นต้น ผู้ขี่ม้าจะต้องทำเวลาได้ภายใน Time Limit ที่กำหนด ถ้าเกินแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียวจะต้องออกจากการแข่งขัน (Elimination)
– ถ้าผู้เข้าแข่งขันตกม้า ต้องถูกออกจากการแข่งขัน( Elimination)

Dressage

Introduction

Dressage, derived from the French word “dresser” meaning “to train”, dates back to the Renaissance Era, when it gained recognition as a good training method for European cavalries. This competition tests the obedience and agility of the horse and its coordination with its rider. The rider and horse combination is required to perform a series of carefully designed, graceful movements, and as a result, Dressage is often called “equestrian ballet”.

Rules

The rider and the horse are required to perform three rounds of competition in a 20m x 60m flat arena:
– The first two rounds are movements set by the F?d?ration Equestre Internationale (FEI)
– The last round is freestyle-to-music – the rider and the horse will freely interpret self-choreographed movements to the music of their choice.

For more details, please refer to competition format and rules. The French version is available here.

Judging

– The judges will give a mark on the quality of each movement of the combination. The maximum mark for each movement is 10.
– The winner is the one with the highest total marks for the whole competition.

50 athletes were initially expected to compete in Dressage in 2008. 49 athletes from 11 nations are officially entered after horse inspection.

Dressage หรือ ที่เรียกว่า ศิลปะการบังคับม้า

เมื่อ กล่าวถึงกีฬาประเภทนี้ อยากให้ผู้อ่านลองนึกภาพ การขี่ม้าที่ผู้ขี่แต่งกายสวย ๆใส่ชุดทักซิโด้, หมวกทรงสูง ( Top Hat ) ตลอดจนมีการถักเปียที่ขนแผงคอม้าและที่หางเป็นต้น ผู้แข่งขันจะบังคับม้าของตนปฏิบัติตามคำสั่งที่กรรมการได้แจกจ่ายไปไว้ ก่อนล่วงหน้า ยกตัวอย่างเช่น การเปลี่ยนฝีเท้าม้าในการวิ่งตามจุดบังคับต่างๆ รวมถึงลักษณะการย่างก้าวของม้า ซึ่งใครบังคับม้าของตนได้อย่างสวยงาม แต่ละท่าทางได้เข้าตากรรมการมากกว่ากัน คนนั้นก็จะเป็นผู้ชนะ เฉกเช่นเดียวกับ กีฬายิมนาสติก ประเภท Floor Exercise ซึ่งบางครั้งไม่ง่ายนักที่จะเดาใจกรรมการได้ว่าใครจะเป็นผู้ชนะ สำหรับกีฬาประเภทนี้เรา ๆ ในส่วนของคนดู คงได้แต่เอาใจช่วยนักกีฬาและม้าที่เราชื่นชอบ เท่านั้นแหละครับ ส่วนการตัดสินแพ้ชนะ ปล่อยให้เป็นเรื่องของกรรมการเขาดีกว่า เพราะถ้าผลคะแนนออกมาไม่ตรงกับใจเราจะเกิดกรณี ? ม้าแพ้คนไม่แพ้ ? ขึ้นม้าอีก ซึ่งมีให้เห็นกันบ่อยในบ้านเรา

อยากขี่ม้าเตรียมตัวอย่างไร?

อยากขี่ม้าเตรียมตัวอย่างไร?

ก่อนที่จะเริ่มไปฝึกหัดขี่ม้านั้นเคล็ดลับความสำเร็จที่จะต้องถามตัว เองเสียก่อนว่า ?เราพร้อมหรือยัง? รีบถามตัวเองเสียก่อนจะตัดสินใจ มิฉะนั้นแล้วการขี่ม้าอาจจะไม่เป็นไปตามจินตนาการที่เราได้วาด ฝันเอาไว้ รวมถึง ถามตัวเองว่าคุณมีในสิ่งเหล่านี้ครบแล้วหรือยัง

1. เวลา
การฝึกหัดทำอะไรก็ตาม เมื่อหัดใหม่ ๆ ต้องมีเวลาให้อย่างต่อเนื่อง และสม่ำเสมอ เช่นเดียวกับการขี่ม้า คุณต้องมีเวลาอย่างน้อย สัปดาห์ละ 3 ครั้ง หรือยิ่งมีมากเท่าไรได้ยิ่งดี เพราะความต่อเนื่อง จะทำให้คุณขี่ม้าเป็นเร็วขึ้น แต่ถ้าคุณขี่ ๆ หยุด ๆ ยกตัวอย่างเช่น ขี่สัปดาห์ละครั้งหรือสัปดาห์ละ 3 ครั้ง หายไปอีก 2 สัปดาห์ กลับมาขี่อีก 5 ครั้ง อย่างนี้ชาติหน้าก็ขี่ไม่เป็น แต่การขี่ม้านั้น ถ้าขี่เป็นแล้ว เข้าใจหลักของการบังคับแล้ว จะชี่เป็นเลย นั่นหมาย ความว่าไม่ได้ขี่เป็นปีๆแล้วกลับมาขี่ใหม่ก็ขี่ได้ เช่นเดียวกับการขับรถ

ปัญหามันอยู่ที่ว่า ต้องขี่ให้เป็นเสียก่อน เมื่อขี่เป็นแล้วจะขี่ม้าเพื่อเป็น การออกกำลังกายก็ไม่จำเป็นต้อง มาขี่บ่อย แต่ถ้าอยากจะเป็น นัก กีฬาขี่ม้าแล้ว ยังไงๆก็ต้องขี่ม้าทุกวัน

2. การสนับสนุน
การสนับสนุนที่ดี ส่งผลเป็นอย่างมากสำหรับโอกาสในการขี่ม้าที่ก้าวหน้าและได้ผล อาทิ การสนับสนุนจากผู้ปกครองเริ่มตั้งแต่การมารับ-ส่ง ตลอดจนการจัดหาเครื่องแต่งกาย, อุปกรณ์ สำหรับม้า หรือจนกระทั่งถึงการซื้อม้า (ในกรณีที่อยากมีม้าเป็นของตัวเอง) รวมถึงการสนับสนุนจากสถาบันการศึกษา เพราะ เมื่อเป็นนักกีฬาแล้ว บางครั้ง ตารางการแข่งขันไม่ตรงกับวันหยุดก็อาจจะมีผลกระทบได้ ตลอดจนความเข้าอกเข้าใจของคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนหรือคนรัก ต้องเข้าใจว่าการขี่ม้านั้นต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2 – 3 ชั่วโมง (ก่อนขี่ ระหว่างขี่ และหลังขี่) อาจจะทำให้กระทบกับกิจกรรมอื่น ๆ ได้

3. ความกล้า
การขี่ม้าไม่ใช่เป็นสิ่งที่น่ากลัว แต่จะต้องอาศัยความกล้า เพราะเมื่อเราขึ้นไปอยู่บนหลังม้าแล้ว สิ่งที่จะทำให้เกิดความปลอดภัยได้นั้นคือ เราจะต้องทำให้ม้าเกิดความมั่นใจตัวเราว่าเราสามารถบังคับเขาได้ (เราเป็นนายม้า ไม่ใช่ให้มันเป็นตัวพาเราไป) สำหรับการขี่ม้า ผู้ขี่เป็นคนบังคับให้ม้าเดิน วิ่ง หยุด ตามที่ต้องการ เราจะเคยได้ยินเสมอสำหรับสุภาษิตไทยที่ว่า ?กุมบังเหียน? นั้นหมายถึงผู้ขี่ม้านั้นสามารถบังคับม้าไปในทิศทางใดก็ได้ตามใจปราถนา ซึ่งเราต้องกล้าที่จะออกคำสั่งให้ม้าทำตามเรา, ต้องสามารถสื่อสารกันให้เข้าใจ ทั้งๆที่เราไม่สามารถพูดกับเขารู้เรื่อง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำง่ายๆ การขี่ม้าจึงสนุก ตื่นเต้น ท้าทาย แต่ถ้าคุณสำรวจตัวเองแล้วว่าเป็นคนขี้กลัว ตกใจง่าย หล่ะก็ กีฬาขี่ม้าน่าจะไม่เหมาะกับคุณและเมื่อคุณสามารถจัดการกับ ข้อจำกัดต่าง ๆ เหล่านี้ได้แล้ว ขั้นตอนต่อไปก็คือ เลือกสถานที่จะเรียนขี่ม้า และครูสอนขี่ม้า ปัจจัยตรงนี้มีผลมากเนื่องจากบางครั้งสถานที่ขี่ม้าสะดวก (ใกล้บ้าน) แต่ครูไม่ถูกใจหรือครูถูกใจแต่ไม่สะดวกในการเดินทาง ไม่สามารถไป-มา บ่อย ๆ ได้ โรงเรียนขี่ม้าบางที่มีข้อจำกัดในการรับสมาชิกจำนวนมากๆ บางโรงเรียนอัตราค่าขี่ม้าแพง ซึ่งคนฐานะปานกลางส่วนใหญ่สู้ไม่ไหว และอีกมากมายหลายเหตุผล

โรงเรียนขี่ม้า
การเริ่มต้นเรียนขี่มาจากโรงเรียนที่ดีย่อมเกิดประโยชน์กับตัวนักเรียนเอง เป็นอย่างมาก การเรียนขี่ม้าจากโรงเรียนที่มีค่าเล่าเรียนแพงหรือถูก ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นโรงเรียนที่ดีหรือไม่ดี เพราะโรงเรียนขี่ม้าที่ดีนั้น ย่อมต้องมีสภาพแวดล้อมที่ดี ปลอดภัย และมีครูที่ดีซึ่งได้ผ่านการฝึกฝนมาอย่างดี นอกจากนี้การเตรียมสถานที่เรียนให้เหมาะสมกับสภาพการที่จะเรียนขี่ม้าก็มี ความสำคัญเป็นอย่างมาก อาทิ การเตรียมสนามขี่ม้า การเตรียมการเรื่องทฤษฎีต่าง ๆ การเริ่มต้น จากโรงเรียนที่ไม่ดีเท่ากับว่าจะเสียเวลาในการเริ่มต้นไปโดยเปล่าประโยชน์ ซึ่งการที่คุณเลือกเดินทางมาหาเรานั้น บอกได้เลยว่า คุณตัดสินใจถูกแล้ว ชมรมขี่ม้าทหารม้ารักษาพระองค์ นั้น ถือได้ว่าเป็นศูนย์กลางของกีฬาขี่ม้าในประเทศไทยเลยก็ว่าได้

ครูขี่ม้า
ครูขี่ม้าที่ดีนั้น เป็นสิ่งที่มีความจำเป็นต่อการขี่ม้าเป็นอย่างมาก เพราะการขี่ม้านั้น จัดว่าเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ผู้ที่ขี่ม้าเก่งไม่จำเป็นต้องเป็นครูฝึกม้าที่ดีเสมอไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสามารถในการถ่ายทอดของแต่ละบุคคล ครูขี่ม้าที่ดีต้องสร้างความมั่นใจให้กับนักเรียนได้และต้องสามารถถ่ายทอด ให้นักเรียนได้เข้าใจถึงวิธีบังคับม้าที่ถูกต้อง และต้องคอยแก้ไขปัญหาต่างๆอันเกิดจากการขี่ม้าให้แก่นักเรียนได้ทุกเวลา ครูขี่ม้าที่ดีต้องมีความละเอียดรอบคอบอย่างสูง มิฉะนั้นแล้ว อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุแก่นักเรียนและม้าได้โดยไม่ได้ตั้งใจ ก็เป็นได้

อุปกรณ์ในการขี่ม้า
อุปกรณ์ในการขี่ม้าเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมาก เพราะอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้ออกแบบและพัฒนาเพื่อนักขี่ม้าโดยเฉพาะ มุ่งเน้นในเรื่องการป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้น และยังช่วยให้สามารถบังคับม้า หรือสื่อสารความเข้าใจระหว่างผู้ขี่ม้ากับม้าได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งแน่นอนที่สุด คุณกับม้าของคุณจะเข้าขากันได้ง่ายขึ้น อีกทั้งยังสามารถลดอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับม้าของคุณ ซึ่งอาจแยกได้เป็น อุปกรณ์คน และอุปกรณ์ม้า

อุปกรณ์คน

1. หมวกกันน๊อค ซึ่งที่นิยม มีใช้กันอยู่ 2 ชนิด คือ
– HARD HAT ทำด้วยวัสดุไฟเบอร์ มีความหมายแข็งแกร่ง ทนทาน สามารถทนแรงกระแทกจากภายนอกได้ ภายในบุนวมเพื่อให้กระชับศรีษะ และมีกระบังหมวกช่วยป้องกันอันตรายกับจมูกและส่วนของใบหน้าขณะตกม้า ส่วนขนาดควรเลือกขนาดที่พอดีกับศีรษะ ไม่ควรเลือกขนาดใหญ่จนเกินไป ซึ่งจะเกิดปัญหาหมวกหล่นปิดหน้าในขณะที่ขี่และอาจจะหลุดหรือไม่สามารถป้อง กันศรีษะที่บอบบางของเราไว้ได้ และไม่ควรเลือกหมวกที่แน่นจนเกินไปซึ่งจะทำให้ผู้ขี่เองเกิดอาการมึนศรีษะ ได้
– CRASH HELMET เป็นหมวกขี่ม้าอีกแบบหนึ่งที่มีความแข็งแรง และสามารถรองรับความปลอดภัยได้ดีกว่า HARD HAT หมวกชนิดนี้ออกแบบมาเพื่อสามารถรับแรงกระแทกอย่างรุนแรงในขณะตกม้าด้วยความ เร็วสูง มักนิยมใช้ในการขี่ม้าในภูมิประเทศ เป็นต้น

2. กางเกงขี่ม้า มีนิยมด้วยกัน 2 แบบ คือ
– BREECHES คือ กางเกงขี่ม้าที่ปลายขารัดเหนือข้อเท้า มีทั้งแบบมีปีก และไม่มีปีก ส่วนสีนั้นแล้วแต่ความนิยม ส่วนสีที่ใช้ในการแข่งขัน คือ สีขาว หรือสีครีม กางเกงชนิดนี้ใช้ใส่กับรองเท้า BOOT ทรงสูงเท่านั้น
– JODHPURS คือ กางเกงขี่ม้าอีกแบบที่มีลักษณะใกล้เคียงกับ BREECHES เพียงแต่ต่างกันตรงปลายขา กางเกงนี้ใช้กับรองเท้าหุ้มข้อ
ส่วนการติดแผ่นหนังก็แล้วแต่ชนิดอาจติดด้านในขา หรือบริเวณก้นยาวไปยังเข่าด้านในก็ได้ ทั้งนี้เพื่อช่วยให้ผู้ขี่ยึดติดกับอานม้ามากยิ่งขึ้น แต่การรักษาสภาพหนังต้องระวัง เพราะหากผู้ขี่ใช้เตารีดรีดบริเวณหนังจะทำให้หนังแข็งตัวเร็วหมดสภาพ และทำให้ผู้ขี่บาดเจ็บ เนื่องจากการเสียดสีกับร่างกายในขณะที่ขี่ม้า

3. รองเท้าขี่ม้า
มี 2 ชนิด คือ
– BOOT หรือเรียกว่า รองเท้าขี่ม้าทรงสูงครึ่งน่อง สุดแล้วแต่จะยาวครึ่งน่องหรือยาวจนถึงใต้เข่า ทำจากหนังสัตว์หรือจากยาง ซึ่งมีราคาต่างกัน ปลายรองเท้าควรเรียวตามรูปเท้าส่วนพื้นรองเท้านั้นควรเรียบ เพื่อป้องกันอันตรายหากผู้ที่ขี่ตกม้า เท้าจะได้ไม่ติดอยู่ภายในโกลน
– ANKLE BOOT หรือรองเท้าขี่ม้าหุ้มข้อ ส่วนมากจะใช้กับกางเกง JODHPURS

4. GLOVES ถุงมือขี่ม้า
ทำจากหนังหรือผ้า มีลักษณะแตกต่างกันไปตามแบบ แต่จะมีการเสริมความแข็งแรงบริเวณระหว่างนิ้วก้อย นิ้วนาง และนิ้วหัวแม่มือ เพราะเป็นบริเวณที่สายบังเหียนจะผ่านเข้าในมือผู้ขี่ ช่วยลดความเสียดสีที่จะเกิดขึ้น ซึ่งอาจจะทำให้นิ้วมือพองได้

5. เสื้อ
โดยปรกติเสื้อที่ใส่ไม่ควรรุ่มร่าม หรือมีขนาดใหญ่เกินไป เพราะจะทำให้เกะกะต่อการบังคับม้า ควรแต่งกายในชุดสุภาพ เสื้อควรเป็นเสื้อคอปกจะแขนสั้นหรือแขนยาวก็ได้ สำหรับการแข่งขันควรใส่เสื้อ JACKET หรือสูท (ขี่ม้า) สำหรับสูทควรเป็นสีน้ำเงิน หรือดำ สำหรับสีแดงนั้น จะใช้เฉพาะผู้เชี่ยวชาญการขี่ม้าในการกระโดดข้ามเครื่องกีดขวางเท่านั้น

6. WHIP
แส้ เป็นเครื่องบังคับม้ารอง ช่วยในการบังคับม้าในกรณีที่แรงน่องของผู้ขี่ไม่พอ และเอาไว้ลงโทษม้าในกรณีไม่เชื่อฟังผู้ขี่ และในทางจิตวิทยาต่อม้าเมื่อผู้ขี่ถือแส้ ม้ามักจะไม่กล้าเกเร แส้แบ่งออกเป็นแส้สั้น (JUMPING WHIP) และแส้ยาว (DRESSAGE WHIP)

7. SPUR
เดือย เป็นเครื่องมือบังคับรอง ใช้สำหรับเตือนม้าโดยสวมทับรองเท้าขี่ม้ ช่วยเสริมให้บังคับม้าได้ดีขึ้น เมื่อต้องการฝึกหรือใช้ในการแข่งขัน SPUR มีมากมายหลายสิบแบบแตกต่างกันไปตามวัตถุประสงค์ของการใช้งาน (ส่วนใหญ่ใช้เฉพาะผู้ที่ขี่ม้าเป็นแล้วเท่านั้น)

อุปกรณ์ม้า
ในการเรียนขี่ม้า สิ่งที่จำเป็นที่นักเรียนควรทราบ ก็คือ อุปกรณ์ที่ใช้อยู่กับตัวม้าว่ามีอะไรบ้าง มิฉะนั้นเราจะเสมือนผู้ที่อาศัยอยู่บนหลังม้า โดยไม่เข้าใจการใช้งานของอุปกรณ์ต่าง ๆ เลยว่ามีผลต่อตัวม้าอย่างไร และจำเป็นอย่างยิ่งที่นักเรียนควรจะจับม้าและผูกเครื่องม้าเป็นสำหรับ อุปกรณ์มีดังนี้

1. ขลุมบังเหียน (BRIDLE) ส่วนใหญ่จะทำมาจากหนังสัตว์ ซึ่งประกอบกันเข้ามีรายละเอียดหลายอย่าง มีชื่อเรียกแต่ละชิ้นแต่ต่างกันออกไป ตำแหน่งที่ประกอบกันเข้าไว้ ซึ่งจะยึดอยู่บนศีรษะม้า
2. เหล็กปากม้า (BIT) แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ
– เหล็กปากอ่อน SNAFFLE BIT จะเป็นเหล็กปากม้าที่ใช้เป็นส่วนใหญ่ตามปกติทั่วไป ในการบังคับม้าในทุกระดับฝีมือในการขี่ม้า
– เหล็กปากแข็ง CURB BIT จะใช้ประกอบกับเหล็กปากอ่อน รวมเป็นบังเหียนสี่สาย ที่ใช้ในการบังคับม้าชั้นสูงและในพิธี หรือพระราชพิธีของกองทหารม้าในการสวนสนาม
3. ผ้าปูหลังม้า (NUMNAH OR SADDLE CLOTH)
ใช้ปูใต้อานม้า เพื่อป้องกันส่วนของตะโหงกม้า ไม้ให้เสียดสีกับอานม้าโดยตรงซึ่งจะทำให้หลังแตก นอกจากนี้ยังช่วยในการซับเหงื่อม้าในขณะผูกอานมิฉะนั้นจะทำให้อานม้าลื่น หรือหลุดจากหลังม้าหรือขยับที่ได้ ผ้าปูหลังมีแบบต่างๆ มากมาย วัสดุที่ใช้ทำผ้าปูหลังอาจทำจาก ผ้าฝ้าย ลินิน ฟองน้ำ หรือหนังแกะก็ได้
4. อานม้า (SADDLE) มีแบบที่แตกต่างกัน แล้วแต่ชนิดการใช้งาน แต่ส่วนประกอบหลัก ๆของอาน จะประกอบไปด้วย คือ ตัวอาน โกลน, สายโกลน

ในส่วนของอานม้ามีให้เลือกมากมายหลายชนิด แบ่งหลัก ๆ ที่ใช้งาน 3 ชนิด คือ
1. All PURPOSE สำหรับใช้งานทั่วไป
2. JUMPING สำหรับกระโดดข้ามเครื่องกีดขวาง
3. DRESSAGE สำหรับศิลปะการบังคับม้า
พูดถึงอานม้า มีหลายคุณภาพเริ่มจากหนังสัตว์ที่ใช้มาทำอาน นุ่มมาก นุ่มน้อย หนังแท้ หนังเทียม โครงอานข้างในทำด้วยไม้ หรือทำด้วยพลาสติกหล่อสำเร็จรูป วิธีการตัดเย็บหนังขนาดของอาน ความกว้างความลึกของอานตลอดจนกระทั่งผู้ผลิตที่มีชื่อเสียงหรือไม่ ทำให้ราคาของอานแตกต่างกันออกไป เมื่อจะซื้อควรจะสอบถามจากครูผู้สอนหรือผู้มีความรู้เสียก่อน

5. สายรัดทึบ
เป็นส่วนที่ใช้ยึดอานม้าให้ติดอยู่กับตัวม้า สายรัดทึบนี้อาจจะทำมาจากไนล่อน ด้ายถักหนัง หรือวัสดุอื่น ที่ไม่เป็นอันตรายต่อตัวม้า สิ่งสำคัญที่ควรคำนึงถึงคือ สายรัดทึบจะต้องไม่คม จนกระทั่ง บาดตัวม้าเพราะอาจจะทำให้เกิดบาดแผล ที่เกิดจากการเสียดสีได้
6. สนับแข้งม้า (BOOT)
สำหรับป้องกันการเสียดสีของขาม้าเวลาเดิน วิ่ง ไม่ให้เกิดบาดแผล ซึ่งมีมากมายหลายแบบให้เลือกตามวัตถุประสงค์ของการใช้งาน ตลอดไปจนถึงผ้าพันแข้งม้า ซึ่งนอกจากจะช่วยลดการเสียดสีแล้ว ยังช่วยกระชับเอ็นขาม้าไม่ให้ยึดอีกด้วย แต่จะเสียเวลามากกว่าในการรัดผ้าพันแข้ง เมื่อเทียบกับการใส่สนับแข้ง

ทั้งหมดนี้เป็นอุปกรณ์หลัก ๆ ที่ผู้สนใจขี่ม้าควรจะทราบ เพื่อเตรียมอุปกรณ์ของตัวเองและม้าให้พร้อมสำหรับการฝึกหัดขี่ม้า ปัจจุบันอุปกรณ์ เหล่านี้มีจำหน่ายในประเทศแล้วไม่จำเป็นต้องเดินทางไปซื้อมาจากต่างประเทศ เหมือนสมัยก่อน ส่วนราคานั้นขึ้นอยู่กับคุณภาพของสินค้า นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์เสริมพิเศษอีกมากมายที่ไม่ได้กล่าวถึง แถมในส่วนของท้ายเรื่อง ในเรื่อง ?ท่านั่งม้าของผู้ขี่? ท่านั่งม้าที่ถูกต้องนั้นจะต้องนั่งหลังตรง โดยยืดตัวตรงให้รู้สึกว่าตัวยาวที่สุดและเหยียดขาลงไปให้รู้สึกว่าขายาวที่ สุดเช่นเดียวกัน ต้องกดส้นเท้าลง โดยสวมโกลนแค่ปลายนิ้วก้อย ไม่สวมโกลนลึกเพราะจะไม่สามารถกดส้นเท้าลงไปได้ บิดปลายเท้าเข้าหาลำตัวม้า แนวแขนท่อนบนเป็นแนวเดียวกับลำตัว แขนท่อนล่างอยู่แนวเดียวกับสายบังเหียน หัวไหล่ทั้งสองข้างแบะออกจนรู้สึกว่าตึงตรงแผ่นหลังซึ่งจะทำให้สามารถยืดอก ได้เต็มที่แต่ไม่ต้องเกร็งลำตัวท่อนบน นั่งไปบนอานม้าให้เต็มก้นเหมือนนั่งอยู่บนเก้าอี้ ให้น้ำหนักตัวอยู่ที่ก้น ไม่โน้มตัวไปข้างหน้าเพราะจะทำให้น้ำหนักตัวไป กดที่ขาหน้าม้า ซึ่งม้าจะไม่สามารถวิ่งเต็มก้าวได้ ลองนึกภาพถึงการเล่นขี่ม้าส่งเมือง ถ้าคนขี่โน้มตัวมาข้างหน้ามาก คนที่เป็นม้าอยู่ข้างล่างจะวิ่งไปข้างหน้าลำบาก ม้าก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกัน แนวก้น, ส้นเท้า, หัวไหล่, ใบหู ของผู้ขี่จะต้องเป็นแนวเดียวกันเสมอ แค่นี้ก็จะทำให้คุณมีถ้านั่งม้าที่ถูกต้อง สง่า สวยงาม และสามารถบังคับม้าได้ง่ายขึ้นแล้ว
สำหรับคำแนะนำขั้นต้นสำหรับการขี่ม้าก็มีเพียงแค่นี้ หวังว่าคุณคงเป็นอีกคนหนึ่งที่รักกีฬาขี่ม้า มีความรักและเอ็นดูสัตว์ที่น่ารักและแสนฉลาด ซึ่งถ้าคุณทำได้ กีฬาขี่ม้าจะสามารถเปลี่ยนบุคลิกและลักษณะนิสัยของคุณ โดยที่คุณไม่รู้ตัว

 

ภาพบรรยากาศในงาน Princess’s Cup 2017

ขอเชิญชวนทุกท่านเข้าร่วมชมสินค้าหลากหลาย ในงาน Princess’s Cup 2017 อีกทั้งมี Food Truck อาหารหลากหลายประเภทให้ได้ลิ้มชิมรสกันครับ นอกเหนือจากนั้นยังมีกิจกรรมสำหรับเด็กมากมาย อาทิ ขี่ม้าโพนี่ พับม้ากระดาษ ระบายสี เปิดบริการแล้วตั้งแต่วันนี้ ถึงวันอาทิตย์นี้เท่านั้น เปิดถึงสี่ทุ่มทุกวัน ในงานมีแบรนด์ sirivannavari มาออกร้าน ลดสูงสุดถึง 70 % สถานที่ : กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ สนามเป้า กรุงเทพฯ

 

เตรียมถวายรางวัลยอดนักกีฬาแด่ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์

การกีฬาแห่งประเทศไทย เตรียมถวายรางวัลยอดนักกีฬาแด่ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์

วันนี้มีการประชุมคณะอนุกรรมการพิจารณาคัดเลือกผู้รับรางวัล ด้านกีฬาดีเด่น วันกีฬาแห่งชาติ ประจำปี 2560 ของการกีฬาแห่งประเทศไทย ซึ่งที่ประชุมมีมติเตรียมถวายรางวัลแด่ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ ที่ทรงนำทัพนักกีฬาเข้าแข่งขันกีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 29 ที่ประเทศมาเลเซีย และชนะรางวัลเหรียญเงินในการแข่งขันกีฬาขี่ม้า ประเภทศิลปะการบังคับม้า ประเภททีม โดยจะถวายรางวัลในวันที่ 16 ธันวาคม 2560 ซึ่งตรงกับวันกีฬาแห่งชาติ ภายในอินดอร์สเตเดียม การกีฬาแห่งประเทศไทย หัวหมาก

นอกจากนี้ที่ประชุมยังให้คณะกรรมการ เตรียมพิจารณาคัดเลือกนักกีฬาดีเด่น 10 ประเภทรวม 33 รางวัลให้กับสุดยอดนักกีฬาและผู้บริหารกีฬาประจำปี 2560 โดยการพิจารณานักกีฬาที่จะได้รับรางวัลดีเด่นในแต่ละประเภท โดยพิจารณาจากการได้รับรางวัลในระดับการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก,กีฬาระดับโลก,กีฬานานาชาติ,เอเชียนเกมส์,ซีเกมส์ และกีฬาอาเซียน ประกอบกับเป็นนักกีฬาที่เป็นตัวอย่างของสังคมด้วย

สำหรับรางวัลด้านกีฬาดีเด่น 10 ประเภทประกอบด้วย
1.นักกีฬาสมัครเล่นดีเด่นและรอง (ชาย-หญิง)
2.นักกีฬาเยาวชนสมัครเล่นดีเด่นและรอง (ชาย-หญิง)
3.นักกีฬาอาชีพดีเด่นและรอง
4.นักกีฬามวยไทยอาชีพดีเด่นและรอง
5.นักกีฬาพิการดีเด่น (ชาย-หญิง)
6.ชนิดกีฬาทีมดีเด่นและประเภทกีฬาทีมดีเด่น
7.ผู้ฝึกสอนกีฬาดีเด่น
8.สมาคมกีฬาแห่งประเทศไทยดีเด่น
9.สมาคมกีฬาจังหวัดดีเด่น
10.บุคลากรทางการกีฬาดีเด่น

ที่มา: http://news.ch7.com/detail/254713

Princess ‘s Cup 2017

ขอเชิญเข้าร่วมกิจกรรมหลากหลายในงาน Princess ‘s Cup 2017 ระหว่างวันที่ 21-26 พ.ย.60 ณ กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ฯ สนามเป้า อาทิ การแข่งขันขี่ม้า การประกวดสุนัข ตลาดนัดของสวยงาม กลางกรุงเทพมหานคร งานนี้ไม่ควรพลาดครับ!!!